“ไข่เต่าหายแล้วจึงล้อมคอก”
ข่าวการขโมยไข่เต่ามะเฟืองที่หาดท้ายเหมืองเป็นข่าวเศร้าใจต่อชาวไทยทั้งประเทศตั้งแต่ต้นปี ทั้งๆเมือเดือนธันวาคมปีที่เพิ่งมีรายงานว่าเต่าชนิดนี้เริ่มกลับมาวางไข่อีกครั้ง หลังจากห่างหายไม่มีรายงานการขึ้นมาวางไข่ในบริเวณหาดแห่งนี้มากกว่า5ปี จากกรณีโจรกรรมนี้หน่วยงานต่างๆทั้งเอกชนและภาครัฐต่างลงขันตั้งเงินรางวัลค่าหัวนำจับโจรขโมยไข่เต่าตอนนี้ยอดสูงมากกว่า1แสนบาท นับได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าชื่นชมที่คนไทยร่วมมือกันปกป้องทรัพยากรของประเทศ แต่สิ่งที่ท้ายคือเราจะทำอย่างไรให้การปกป้องทะเลไทยเป็นกิจกรรมที่ยั่งยืน ไม่ใช่เป็นกิจกรรมวัวหายแล้วจึงล้อมคอก
สิ่งที่ผู้เขียนจะนำเสนอต่อไปนี้เป็นตัวอย่างการลงขันเพื่ออนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลในเมืองแคนคูณ (Cancun) รัฐกวินตานารู ประเทศแม็กซิโก ซึ่งเป็นกิจกรรมที่เผยแพร่เป็นข่าวหมาดๆพร้อมกับข่าวโจรกรรมไข่เต่าในเมืองไทย ในเว็บไซค์ Yale Climate Connection สื่ออนไลน์สารณะของคณะสิ่งแวดล้อมศึกษาและการป่าไม้ มหาวิทยาลัยเยล (Yale University) ได้เผยแพร่ข่าวว่ากลุ่มธรุกิจร้านค้าต่างๆในเมืองแคนคูณ ประเทศแม็กซิโกได้ลงขันกันซื้อประกันประการังและชายหาดในท้องถิ่น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบใหม่ในวงการธุรกิจประกันภัยโลก เหตุผลที่กลุ่มผู้ประกอบการร่วมมือกันทำประกันภัยให้ประการังและชายหาดเนื่องจากการตกผลึกทางความคิดที่ว่า แนวประการังทางธรรมชาติรอบเมืองแคนคูณคือกำแพงธรรมชาติที่สำคัญช่วยลดความเสียหายจากคลื่นและพายุที่จะเข้าทำลายโรงแรมและรีสอร์ทต่างๆตามชายหาดของเมือง นายเดฟ โจนส์ (Dave Jones) ผู้แทนขององค์การ Nature Conservancy และเคยเป็นอดีตกรรมมาธิการประกันภัยแห่งมลรัฐแคลิฟอร์เนียกล่าวว่า “ประการังที่อุดมสมบูรณ์และแข็งแรงสามารถลดพลังงานของคลื่นที่เข้ากระแทกชายฝั่งให้ลดลงได้ถึง 97% ดังนั้นความอุดมสมบูรณ์ของแนวประการังเป็นสิ่งยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าชุมชนเมืองแคนคูณจะอยู่รอดหรือไม่เมื่อต้องเผชิญกับเฮอริเคนและพายุอื่นๆ”
อย่างไรก็ตามแนวประการังนั้นโดยธรรมชาติไม่ได้แข็งแรงอยู่ตลอดไป บางครั้งอาจเสียหายจากพายุที่รุนแรงได้ เมื่อไม่มีแนวประการรังที่แข็งแรงย่อมสร้างความเสี่ยงที่ชายหาดจะได้รับการทำลายจากคลื่นที่รุนแรงในอนาคต กลุ่มผู้ประกอบการในเมืองนี้และรัฐกวินตานารูจึงสมทบทุนทรัพย์สร้างเป็นเงินกองทุนประกันภัยประการังขึ้น เมื่อมีวาตะภัยและคลื่นลมแรงซัดเข้าทำลายแนวประการัง ...
แค่เริ่มปีใหม่ 2563 ได้ไม่กี่วัน พื้นที่ต่างๆของประเทศไทยกำลังประสบปัญแล้งก็กลายเป็นข่าวใหญ่ผ่านสื่อต่างๆ
ทั้งนี้เกิดจากปัญหาขาดแคลนน้ำฝนจากธรรมชาติต่อเนื่องจากปีที่แล้ว น้ำตามแหล่งน้ำผิวดินทั้งประเทศไม่เพียงพอต่อการใช้สอย คงเหลือแหล่งน้ำใต้ดินเท่านั้นที่พอจะเป็นความหวังสำรองได้บ้าง อย่างไรก็ตามหากติดตามข่าวสารเรื่องปริมาณของแหล่งน้ำใต้ดินแล้ว สิ่งที่เราคาดหวังจะเป็นทางทรัพยากรน้ำทางรอดอาจไม่ใช่เสียแล้ว เมื่อนักวิทยาศาตร์ทั่วโลกและองค์การอวกาศของสหรัฐอเมริกาออกมาให้ข้อมูลความจริงที่น่าสะพรึงกลัว
น้ำบาดาลเป็นทรัพยากรน้ำจืดที่สำคัญมีสัดส่วนมากถึง 99% ของน้ำจืดที่มีอยู่ในโลกใบนี้ เป็นแหล่งน้ำสำคัญหล่อเลี้ยงสรรพชีวิตให้อยู่กินอย่างสบาย เปรียบดั่งฟันเฟืองสำคัญในระบบห่วงโซ่อาหาร ให้น้ำต่อพืชต่างๆและสัตว์ได้กินพืชเป็นแหล่งพลังงาน นอกจากนี้น้ำบาดาลยังเป็นแหล่งต้นทุนถึง 25% ของน้ำจืดผิวดิน เช่น น้ำในเขื่อนเก็บน้ำ แม่น้ำ หนองบึงและทะเลสาบต่างๆ โดยธรรมชาติแล้วน้ำบาดาลและน้ำท่า(หรือน้ำผิวดิน)มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน ในปีที่น้ำฝนตกหนักจะทำให้ปริมาณน้ำบาดาลใต้ดินมีมากตามไปด้วย และในปีถัดไปหากน้ำท่าหรือน้ำผิวดินมีปริมาณน้ำน้อย น้ำจะแหล่งน้ำบาดาลจะซึมขึ้นมาเติมเต็มให้น้ำผิวดินมีความสมดุลย์ ดังนั้นหากปริมาณน้ำบาดาลลดลงจะส่งผลต่อปริมาณน้ำท่าหรือน้ำผิวดินลดลงอย่างรวดเร็วเป็นวัฏจักรหมุนเวียนสัมพันธ์ต่อกัน นอกจากนี้นักวิทยาศาสตร์และองค์การการบินและอวกาศสหรัฐอเมริกาหรือ NASA มีรายงานระบุว่าการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศโลกที่ร้อนขึ้น มีผลกระทบโดยตรงทำให้น้ำบาดาลจากพื้นต่างๆทั่วโลกร่อยหรอลงอย่างรวดเร็ว
ไม่นานมานี้นักวิทยาศาสตร์ที่รวมตัวกันประมาณ1,100 คนจาก 92ประเทศทั่วโลกและเรียกกลุ่มของพวกเขาว่า “Call to Action” พวกเขาได้ติดตามศึกษาการเปลี่ยนแปลงของปริมาณน้ำบาดาลทั่วโลก และพบความจริงที่ต้องเรียกร้องให้องค์กรสาธารณกุศลและรัฐบาลของประเทศต่างๆทั่วโลกเตรียมการรับมือกับภาวะวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นในเร็วๆนี้ คาดการณ์ว่าโลกกำลังประสบกับปัญหาน้ำบาดาลกำลังแห้งขอด หากไม่ใส่ใจสร้างแผนการใช้และอนุรักษ์น้ำบาดาลอย่างยั่งยืน ...
ได้เห็นข่าวเรื่องการนำขวดน้ำพลาสติกมีรีไซเคิลผลิตเป็นผ้าจีวรให้พระ รวมถึง ผลิตเป็นผ้าลายผืนสวยๆโดยมีคุณสมบัติคล้ายผ้าฝ้าย ใส่แล้วเย็นสบาย ไม่มีกลิ่นอับ เห็นแล้วอดตื่นเต้นไม่ได้เลยอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆแบบนี้ให้ผู้อ่านค่ะ
จากความมุ่งมั่นและค้นคว้าท่านผู้ช่วยเจ้าอาวาส พระมหาประนอม ธมมาลง กาโร วัดจากแดง จ.สมุทรปราการ ที่อยากลดขยะประเภทขยะจากขวดน้ำพลาสติกภายในวัดและที่มากับน้ำบริเวณหน้าวัด รวมถึงอยากลดภาวะโลกร้อน ลดมลภาวะทางน้ำ โดยการศึกษาดูงานยังต่างประเทศซึ่งหลายประเทศมีการนำวัสดุรีไซเคิ้ลมาทำเสื้อผ้ากันอย่างกว้างขวางและการลองผิดลองถูกมาสามปีเพื่อผลิตเป็นผ้าจีวรเนื้อผ้าฝ้าย ผสมนาโน โดยใส่ขวดพลาสติกลงไปแปรรูป แทบไม่น่าเชื่อ ว่าได้ผ้าเนื้อดีนุ่ม เกรดพรีเมี่ยม ใส่สบาย ซึ่งปริมาณการใช้ขวดพลาสติก ต่อผ้าหนึ่งชิ้น ประมาณ 2-6 ขวด โดยความตั้งใจที่ว่าขยะต้องเป็นศูนย์ โดยถือว่าเป็นก้าวแรกและทางวัดมีความมุ่งหวังว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐ และ วัดต่างๆ ที่เข้ามามีส่วนร่วมและขยายผลออกไป ขยะจำพวกขวดน้ำพลาสติกก็จะลดลงและไม่กลายเป็นขยะที่สร้างปัญหาในอนาคต
โดยผ้าจีวร 1 ผืน ใช้ขวดพลาสติกจำนวน 15 ใบเฉพาะพาสติกใสหรือสีขาวเพราะต้องนำไปย้อมสีเคมี เส้นใยนุ่ม...
วาฬหัวทุยหรือวาฬสเปิร์มมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Physeter macrocephalus เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทะเล ( sea mammal) ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดชนิดหนึ่ง และเป็นหนึ่งในสัตว์คุ้มครองตามกฎหมายไทย ถูกพบเกยตื้นตายในชายแห่งหนึ่งในสก็อตแลนด์
ไม่นานมานี้สำนักข่าว ABC NEWS รายงานว่าเจ้าหน้าที่องค์กรแห่งหนึ่งพบสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดยักษ์ชื่อว่าวาฬหัวทุยหรือวาฬสเปิร์มตายที่ชายหาด Luskentyre ในสก็อตแลด์ เมื่อผ่าพิสูจน์พบว่ามีขยะในท้องน้ำหนักมากถึง 220 ปอนด์ ขยะเหล่านี้บางส่วนมีสภาพเหมือนถูกกลืนเข้าไปนานแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ยังไม่สามารถพิสูจน์ชัดว่าสาเหตุการตายที่แท้จริงเกิดจากการกินขยะมาเป็นระยะเวลานานแล้วหรือไม่ ขยะที่พบในท้องของวาฬตัวนี้ส่วนใหญ่เป็นเครื่องมือประมงอย่างเช่นอวนและพลาสติกซึ่งวาฬอาจกลืนนานแล้วจากการตระเวณหากินในมหาสมุทรแอตแลนติ ระหว่าง Azores นอร์เวย์ และโปรตุเกส
ด้วยน้ำหนักที่มากถึง 20 ตันหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงไม่สามารถเคลื่อนย้ายซากวาฬที่ตายไปกำจัดที่อื่นได้จึงฝังกลบไว้ที่ชายหาดที่พบ
ในกรณีของประเทศไทยมักมีข่าวประจำว่าสัตว์ทะเลหายากตายเพราะการกินพลาสติก เช่น การพบเต่ามะเฟือง (leatherback sea turtle) ซึ่งเป็นสัตว์หายากและเป็นสัตว์สงวนตาย นอกจากนี้ยังมีข่าวการพบพยูน ( Dugong dugon) ในทะเลอันดามันเกยตื้นตาย และเมื่อเจ้าหน้าที่ผ่าพิสูจน์สาเหตุการตายส่วนใหญ่พบว่ามีขยะพลาสติกอยู่ในท้องจำนวนมาก ...